ฟันลูกจะดีต้องเริ่มเมื่อตั้งครรภ์
1. ขณะตั้งครรภ์ทำอย่างไรให้ฟันลูกแข็งแรง
ฟันของทารกมีการพัฒนาโครงสร้างตั้งแต่อยู่ในครรภ์ และต้องการสารอาหารอย่างเพียงพอเพื่อให้เกิดโครงสร้างที่สมบูรณ์ หญิง ตั้งครรภ์ควรกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในบริเวณที่เพียงพอ สารอาหารที่จำเป็นต่อการสร้างฟันมีหลายอย่าง ได้แก่ โปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ โดยเฉพาะแร่ธาตุแคลเซียมมีความจำเป็นต่อการสร้างฟันให้แข็งแกร่ง ปริมาณแคลเซียมที่ได้รับไม่ควรน้อยกว่า 800 มิลลิลิตร ต่อวัน หากดื่มนมสด ยูเอชที ขนาด 250 มิลลิกรัม วันละ 2 กล่องจะได้รับแคลเซียมราว 600 มิลลิกรัม ร่วมกับการกินอาหารมื้อหลัก 3 มื้อที่หลากหลาย ไม่ซ้ำซาก ก็จะได้รับแคลเซียมเพียงพอต่อการสร้างฟันและกระดูกของทารก หากไม่ชอบดื่มนม สัตว์ตัวเล็กที่กินได้ทั้งกระดูก เช่น ปลาตัวเล็ก กบ กุ้งแห้ง เมล็ดธัญพืชเช่น งา และถั่งลิสง
2. ขาดสารอาหารช่วงตั้งครรภ์มีผลต่อฟันลูกอย่างไร
การ ขาดสารอาหารมีผลให้โครงสร้างฟันผิดปกติ เช่น การขาดแร่ธาตุแคลเซียม และวิตามินดี ในช่วงตั้งครรภ์ มีผลให้การสร้างเคลือบฟันไม่สมบูรณ์ เคลือบฟันขรุขระ หรือเป็นจุดๆซึ่งเรียกว่า อีนาเมลไฮโปเพลเซีย (Enamel Hypoplasia) บางครั้งมีผลให้ชั้นเคลือบฟันและชั้นเนื้อฟันมีการสะสมแร่ธาตุได้น้อย เรียกว่า ไฮโปแคลซิฟิเคชั่น (Hypoplasia) การสะสมแร่ธาตุได้ไม่สมบูรณ์เป็นสาเหตุให้ฟันไม่แข็งแรงเท่าที่ควรและผุได้ง่าย
3. แคลเซียมจากฟันแม่จะถูกนำไปสร้างกระดูกและฟันของลูกไหม
การ ได้รับแร่ธาตุแคลเซียมไม่พอเพียงในขณะตั้งครรภ์จะมีผลให้ระดับแคลเซียมใน เลือดลดลงซึ่งจะเกิดกลไกกระตุ้นให้ร่างกายนำแร่ธาตุแคลเซียมสำรองจากโครง สร้างของกระดูกออกมา เพื่อใช้ในการพัฒนาโครงสร้างกระดูกและฟันของทารก ไม่ใช่นำมาจากฟันเพราะแคลเซียมจากฟันไม่สามารถซึมเข้าสู่กระแสเลือด เพื่อให้ทารกในครรภ์นำไปใช้ได้
4.กินขนมหวานมากๆ ขณะตั้งครรภ์มีผลเสียต่อฟันและสุขภาพไหม
กิน ขนมหวานมากๆย่อมส่งผลให้เกิดผลฟันผุและเหงือกอักเสบเพิ่มขึ้น เพราะปริมาณน้ำตาลที่ได้รับมากเด่าใด โอกาสที่เชื้อจุลินทรีย์ในช่องปากจะผลิตกรดและสารพิษออกมาก็เป็นไปได้มาก ประกอบกับในระยะตั้งครรภ์ การทำความสะอาดฟันทำได้ไม่ดีนัก หญิงตั้งครรภ์ส่วนใหญ่จึงเป็นโรคฟันผุและเหงือกอักเสบ น้ำตาลเป็นอาหารที่ควรกินแต่น้อย จึงถูกระบุว่าไม่ควรกินกินมากกว่าร้อยละ 10 ของพลังงานทั้งหมดที่ควรได้รับในแต่ละวันปริมาณน้ำตาลที่ได้รับจากอาหาร ต่างๆรวมทั้ง ผัก ผลไม้ ก็พอเพียงต่อความต้องการของร่างกายแล้ว การกินขนมหวานมากๆร่างกายจะได้รับน้ำตาลปริมาณที่มากเกินไป และเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวาน การลดหรือเลี่ยงการกินน้ำตาล นอกจากจะเกิดผลดีต่อตัวเองแล้ว ยังมีผลให้ทารกในครรภ์มีภูมิต้านทานต่อโรคได้ดียิ่งขึ้น
5. เมื่อตั้งครรภ์ฟันจะผุเพิ่มขึ้นไหม
หญิง ตั้งครรภ์ส่วนใหญ่มีฟันผุเพิ่มขึ้น เพราะมีปัจจัยเสริมต่อการเกิดโรคฟันผุหลายอย่าง ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งมีผลให้เกิดการคลื่นไส้ อาเจียน เกิดภาวะความเป็นกรดในช่องปากมขึ้น มีพฤติกรรมการกินอาหารจุบจิบ และส่วนใหญ่แปรงฟันไม่สะอาด เพราะอาเจียนง่าย ซึ่งเป็นปัจจัยร่วมทำให้เกิดฟันผุได้มากขึ้น
6. ทำไมเหงือกบวมในช่วงตั้งครรภ์
หญิง ตั้งครรภ์ประมาณร้อยละ 70 มีเหงือกอักเสบ เนื่องจากมีคราบจุลินทรีย์สะสมอยู่มากที่ตัวฟัน ร่วมกับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกายจึงมีผลให้เหงือกที่อักเสบอยู่ แล้วเกิดอาการรุนแรงขึ้น จนทำให้สังเกตได้ชัดเจนซึ่งควรได้รับการรักษา หากมีหินปูนต้องขูดหินปูนออกก่อน และตัวหญิงตั้งครรภ์เองต้องให้ความสำคัญกับการแปรงฟันให้สะอาดทั่วทั้ง ปากอย่างสม่ำเสมอ
7. มีอาการแพ้ท้องแปรงฟันไม่ได้ควรทำอย่างไร
การ แปรงฟันในช่วงตั้งครรภ์มีหลายคนที่ทำได้ลำบาก เพราะการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกายทำให้เกิดอาการแพ้ท้อง บางคนจะเกิดอาการอาเจียนได้ง่ายเมื่อแปรงฟัน จึงควรใช้แปรงสีฟันขนาดเล็กลง และใช้ยาสีฟันให้น้อยกว่าเดิม เพื่อลดการกระตุ้นการอาเจียน แม้ว่าจะแปรงฟันได้ลำบาก ก็ควรพยายามแปรงฟันหลังอาหารทุกครั้ง
8. ขณะตั้งครรภ์แปรงฟันแล้วมีเลือดออกรักษาอย่างไร
การ แปรงฟันและมีเลือดออก มักเกิดจากเหงือกอักเสบในระยะแรกๆ หากไม่มีคราบหินปูนเกาะตามตัวฟัน การแปรงฟันกำจัดคราบจุลินทรีย์หรือขี้ฟันบริเวณนั่นออกให้ฟันสะอาด เหงือกที่อักเสบจะกลับคืนสู่สภาวะปกติได้ คือ มีสีชมพูแน่นและไม่บวม หากมีคราบหินปูนที่ฟันต้องขูดหินปูนออกก่อน และหลังจากนั้นควรแปรงฟันให้สะอาดย่างสม่ำเสมอ เพราะหากฟันไม่สะอาดเหงือกจะมีโอกาสกลับมาอักเสบได้อีก
9. ยาอะไรบ้างที่มีผลต่อฟันของทารกในครรภ์
ยา เตตร้าซัยคลิน เป็นกลุ่มยาปฏิชีวนะ หรือที่เรียกกันว่ายาแก้อักเสบมีผลให้สีของฟันน้ำนมไม่ขาว แต่เป็นสีเทาถึงน้ำตาล เนื่องจากตัวยาสามารถแทรกเข้าไปอยู่ในชั้นเนื้อฟัน ทำให้สีของเนื้อฟันผิดปกติ ซึ่งสามารถมองเห็นได้แม้ว่าจะมีชั้นของเคลือบฟันคลุมอยู่ จึงไม่สามารถขัดออกได้ ดังนั้น หากเจ็บป่วยในระยะตั้งครรภ์ควรปรึกษาแพทย์ ไม่ควรซื้อยากินเอง
10. ขณะตั้งครรภ์ดูแลปากและฟันอย่างไรให้สะอาด
วิธี การดูแลสภาพช่องปากให้สะอาดขณะตั้งครรภ์ไม่แตกต่างจากสภาวะปกติ นั่นคือการแปรงฟันให้สะอาด แต่เนื่องจากหญิงตั้งครรภ์มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคฟันผุ และเหงือกอักเสบมากกว่าภาวะปกติ จึงต้องแปรงฟันให้คุณภาพมากขึ้น โดยให้เวลากับการแปรงฟันทุกครั้งอย่ารีบร้อนแปรงให้ทั่วทุกซี่ทุกด้านใช้ เวลาประมาณ 2 นาที่ แปรงฟันหลังอาหารมื้อหลักทั้ง 3 มื้อ ร่วมกับการใช้ไหมขัดฟันวันละครั้ง เพื่อช่วยทำความสะอาดด้านที่ฟันอยู่ชิดกัน เพราะบริเวณนี้แปรงสีฟันจะเข้าถึงได้ยาก วิธีการแปรงฟัน และการใช้ไหมขัดฟันสามารถสอบถามได้จากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขหรือหมอฟันในช่วง ที่ฝากครรภ์
11. ปวดฟันช่วงตั้งครรภ์รักษาได้ไหม
การ รักษาในช่วงตั้งครรภ์สามารถทำได้ช่วงเวลาที่เหมาะสม คือ อายุครรภ์ได้ 4-6 เดือน หากมีอาการปวดฟันต้องได้รับการตรวจก่อนว่ามาจากสาเหตุใด เพื่อนำไปสู่การรักษาที่เหมาะสม เช่น สาเหตุจากเหงือกบวม และมีหินปูน ควรได้รับการขูดหินปูน หากเป็นฟันผุอาจจะได้รับการอุดฟัน รักษารากฟัน หรือถอนฟัน ทั้งนี้ เพื่อให้การรักษาเหงือกและฟันลุล่วงด้วยดี เมื่อฝากครรภ์ครั้งแรก หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับการตรวจช่องปาก และมารับการักษาตามที่นัดกับสถานบริการ เพื่อรับการรักษาโรคเหงือกอักเสบหรือฟันผุก่อนที่โรคจะลุกลาม และเกิดอาการปวดอย่างรุนแรงในช่วงใกล้คลอดซึ่งจะให้การรักษาได้ลำบาก หรือไม่สามารถรักษาได้ทำให้ต้องทนปวดฟันไปอีกระยะหนึ่ง ฟันผุที่ไม่ได้รับการรักษาจะเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคในปาก ถ้ามีการปนเปื้อนของน้ำลายจากแม่สู่ลูก เด็กจะมีโอกาสได้รับเชื้อที่ทำให้ฟันผุสูง
12. เด็กดูดนมแม่มีผลดีต่อฟันเด็กมากกว่านมวัวไหม
กลไก การดูดนมแม่ทำให้ผิวฟันสัมผัสกับน้ำนมได้น้อยกว่าการดูดนมจากขวด เพราะน้ำนมแม่จะไหลออกมาเมื่อเด็กออกแรงดูด น้ำนมจะพุ่งเข้าด้านหลังของฟัน ประกอบกับหัวนมแม่มีความยืดหยุ่นได้ดีกว่าหัวนมที่ทำจากยาง เด็กจึงดูดได้ลึก ทำให้น้ำนมพุ่งลงสู่ทางเดินอาหารมากกว่าที่จะเอ่อล้นในปากส่วนเด็กที่ดูดนม จากขวด น้ำนมจากขวดจะไหลได้ตลอดเวลา แม้ว่าเด็กจะไม่ได้ออกแรงดูด น้ำนมจังมักเอ่อล้นอยู่ในปากเด็ก โอกาสที่ฟันจะแช่ในน้ำนมมีได้มากกว่าการดูดนมแม่ ซึ่งหากฟันแช่ในน้ำนมบ่อยๆ หรือนานๆ ก็มีโอกาสเกิดฟันผุได้ นอกจากนี้ นมแม่ยังประกอบด้วยภูมิคุ้มกัน และมีสภาพความเป็นกรดด่างที่ไม่เหมาะต่อการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ ที่ทำให้ฟันผุ
13. ทำไมเด็กบางคนดูดนมแล้วฟันผุ
เด็ก ฟันผุจากการดูดนมมักมีสาเหตุมาจากวิธีการบริโภคที่ทำให้นมแช่อยู่ในปากเด็ก เป็นเวลานาน เช่น ให้เด็กดูดนมบ่อยๆ ดูดนมเป็นเวลานานๆ หรือให้เด็กดูดนมมื้อดึก หรือหลับคาขวดนม ทำให้เชื้อจุลินทรีย์มีโอกาสย่อยสลายน้ำนมที่เอ่อล้นในปากทำให้เกิดกรด และเกิดการสูญเสียแร่ธาตุมากกว่าการคืนกลับของแร่ธาตุ จึงทำให้เกิดฟันผุได้ อีกทั้งพ่อแม่บางคนเลือกนมรสหวานหรือเติมน้ำตาลในนม ทำให้ฟันผุมากขึ้น
14. นมมื้อดึกมีผลเสียต่อฟันเด็กไหม
นม มื้อดึกมีผลทำให้เด็กฟันผุได้ง่าย เพราะเด็กมักจะหลับไปขณะที่ดูดนมการที่เด็กหลับจะไม่มีการกลืน น้ำนมจะเอ่อล้นอยู่ในปากเป็นเวลานาน ฟันของเด็กก็จะแช่อยู่ในน้ำนมตลอดเวลา และเกิดการย่อยสลายนมทำให้เกิดกรดได้ประกอบกับขณะหลับมีน้ำลายหลั่งออกมา น้อยอยู่แล้ว กระบวนการชะล้างช่องปากตามธรรมชาติจึงลดลง ฟันจึงสูญเสียแร่ธาตุอย่างต่อเนื่องและเกิดฟันผุในที่สุด
15. เด็กที่ไม่ยอมให้แปรงฟันจะทำอย่างไร
เด็ก ที่ไม่ยอมแปรงฟันอาจเกิดขึ้นหลายๆสาเหตุ บางคนอาจไม่คุ้นเคยกับการทำความสะอาดช่องปากภายในขวบปีแรก มาเริ่มต้นแปรงเมื่อเด็กโตเกินไป หรือเด็กถูกบังคับให้ทำด้วยเกรี้ยวกราด หรือเด็กบางคนมีพื้นอารมณ์ที่หงุดหงิดง่าย และมีปฏิกิริยาโต้ตอบรุนแรง พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูต้องพยายามใจเย็นๆ บอกกล่าวให้เด็กแปรงฟันอย่างมีเหตุผล โดยใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวลไม่เกรี้ยวกราด บังคับเด็ก หากเป็นเด็กอาจจะพูดสั้นๆ เช่น แปรงฟันซะหนูจะมีฟันสวย วิธีที่ได้ผลดี คือ การสร้างแรงจูงใจให้เด็กเอยากแปรงฟัน เช่น สร้างบรรยากาศให้สนุกสนานด้วยการทำท่าทางประกอบขณะแปรงฟัน หรือสมมติเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการแปรงฟัน เด็กจะสนุกสนานและยอมแปรงฟันง่ายขึ้น การเริ่มต้นแปรงฟันให้เด็กครั้งแรกๆ อาจจะใช้เวลาเพียงเล็กน้อยประมาณ 5-10 วินาที เพื่อสร้างความคุ้นเคยต่อไปจึงค่อยๆเพิ่มเวลาเป็น 1-2 นาที สิ่งสำคัญคือ การสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับเด็ก จะทำให้เด็กยินยอมให้แปรงฟันได้โดยง่าย
16. เด็กชอบกลืนยาสีฟันควรทำอย่างไร
เด็ก ที่ชอบกลืนยาสีฟัน พ่อแม่ต้องเอาใจใส่เรื่องการแปรงฟันของเด็กให้มากขึ้นใช้ยาสีฟันให้น้อยลง หรือเพียงใช้แปรงสีฟันแตะยาสีฟันให้ติดปลายขนแปรงเป็นจุดเล็กๆ และควรบอกกล่าวด้วยความหนักแน่นแต่อ่อนโยน และสุขภาพด้วยประโยคสั้นๆ เช่น อย่ากินยาสีฟัน เพราะหนูอาจจะปวดท้อง ในเด็กเล็กไม่ควรอธิบายเหตุผลมากมาย เพราะจะทำให้เด็กสับสน เมื่อเด็กไม่กินยาสีฟันก็ควรเข้าไปโอบกอด หรือพูดชมเชย ทั้งนี้ควรทำอย่างสม่ำเสมอ เด็กจะเรียนรู้ถึงสิ่งที่ไม่ควรจะทำ ในไม่ช้าเด็กก็จะปฏิบัติเป็นนิสัย
|